ทารกในครรภ์มารดา[1] ก็สามารถจะรับสิทธิ์ต่าง ๆ ได้ หากภายหลังเกิดมาแล้วอยู่รอด ซึ่งเราได้ทราบแล้วว่าทารกในครรภ์มารดานั้นเราถือว่ายังไม่มีสภาพบุคคล แต่กฎหมายบัญญัติรับรองสิทธิ์ของทารกในครรภ์มารดาให้มีสิทธิ์เหมือนผู้มีสภาพบุคคลตามปรกติทุกประการโดยเงื่อนไขว่า ทารกนั้นเมื่อคลอดออกมาแล้วต้องรอดอยู่ด้วย ดังนั้นหากมีการคลอดออกมาในลักษณะที่ทารกไม่มีชีวิตทารกนั้นก็ไม่มีสิทธิ์ เช่น บิดาตายเสียตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดา หากกฎหมายไม่บัญญัติรับรองสิทธิ์ให้ ทารกนั้นก็จะไม่ได้รับมรดกของบิดาในฐานะทายาทโดยธรรมทั้ง ๆ ที่เขาเป็นทายาทโดยธรรม การที่บิดาตายเสียก่อนที่เขาจะเกิดมานั้นหาใช่ความผิดของทารกไม่ กฎหมายจึงบัญญัติสิทธิ์ไว้ให้เขามีสิทธิ์เหมือนพี่คนอื่น ๆ ซึ่งเกิดก่อนเขาทุกประการ ดังนั้นหากเขาเกิดมาและมีชีวิตรอดอยู่ได้เขาก็มีสิทธิ์แบ่งมรดกกับพี่ ๆ ซึ่งเป็นทายาทชั้นเดียวกันได้เช่นกัน
ในทางกฎหมายอิสลาม ในกรณีที่เจ้ามรดกมีทายาทเป็นทารกในครรภ์มารดา ไม่ว่าเจ้ามรดกจะมีทายาทอื่นอยู่ด้วย หรือไม่ ให้ระงับการแบ่งทรัพย์มรดกไว้ก่อนจนกว่าจะให้กำเนิดทารกนั้น ยกเว้นกรณีที่เจ้ามรดกมี ทายาทอื่นที่ส่วนแบ่งของทายาทเหล่านั้นจะไม่เปลี่ยนแปลไม่ว่าสภาพทารกในครรภ์จเป็นอย่างไร รวมอยู่ด้วย ในกรณีเช่นว่านี้ ให้แบ่งทรัพย์มรดกแก่ทายาทอื่นนั้นไปก่อน ส่วนทายาทอื่นนอกจาก ทายาทเหล่านั้นให้รอไปก่อนจนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว ส่วนในกรณีที่ไม่ชัดเจนว่าระยะ การตั้งครรภ์นั้นจะยาวนานเท่าใด ให้ถือระยะเวลาสี่ปีนับแต่เริ่มตั้งครรภ์เป็นจุดสิ้นสุดการตั้งครรภ์ ส่วนกรณีที่ไม่ชัดเจนว่าเวลาแห่งการตั้งครรภ์ ให้นับแต่วันคลอดลงไปจนถึงวันเริ่มตั้งครรภ์มีระยะเวลา ไม่น้อยกว่าหกเดือน