Section outline
-
ยินดีต้อนรับเข้าสู่รายวิชา กฎหมายสิทธิมนุษยชน 1-66
อาจารย์อารยา ชินวรโกมล
-
สนธิสัญญาหลักด้านสิทธิมนุษยชน 7 ฉบับ
1. กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR)
2. กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights (ICESCR)
3. อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women (CEDAW)
4. อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก Convention on the Rights of the Child (CRC)
5. อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination (CERD)
6. อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี Convention Against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment (CAT)
7. อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ Convention on the Rights of the Persons with Disabilities (CRPD)
-
สิทธิมนุษยชน คือ สิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่เป็นของพวกเราทุกคน ไม่ว่าเราจะเป็นใคร หรืออยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าคุณจะมีความเชื่ออะไร หรือใช้ชีวิตแบบไหนก็ตาม
สิทธิมนุษยชนไม่สามารถถูกพรากไปได้ แต่บางครั้งสิทธิมนุษยชนอาจถูกจำกัด เช่น ถ้าคุณทำผิดกฎหมาย หรือกระทำการที่อาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งนี้ สิทธิมนุษยชนนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าความเป็นมนุษย์ เช่น ความมีศักดิ์ศรี ความยุติธรรม ความเท่าเทียม ความเคารพ และความเป็นอิสระ นอกจากนี้สิทธิมนุษยชนนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิดที่เป็นนามธรรมเท่านั้น เพราะสิทธิมนุษยชนคือแนวคิดที่ได้รับการนิยาม และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
ประเทศไทยเป็นภาคีสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนแล้ว จำนวน 7 ฉบับ จากทั้งหมด 9 ฉบับ ทําให้ประเทศไทยมีพันธะผูกพันในการปฏิบัติตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี รวมไปถึงข้อตกลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการประชุมระดับโลก โดยองค์กรของรัฐที่มีหน้าที่หลักในการทำงานเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย คือ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2560) ได้ระบุถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไว้หลายมาตราด้วยกัน เช่น ในมาตรา 4 นั้นระบุว่า "ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง" และ ในหมวดที่ 3 ซึ่งเป็นหมวดสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตราที่ 25 ถึง 49 ยังได้บรรยายขอบเขตของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ในหลายด้านด้วยกัน เช่น ความยุติธรรมทางอาญา การศึกษา การไม่เลือกปฏิบัติ เสรีภาพในการแสดงออก การไม่ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัว และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้จัดทำ แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งจัดทำฉบับแรกในปี 2551 ในขณะที่ฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่ 3 พ.ศ.2557-2561 โดยรัฐบาลได้จัดทำแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขึ้นเพื่อให้ทุกภาคส่วนนําไปใช้ในการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิของประชาชนในประเทศต่อไป
..... -
หลักการทั่วไป ข้อความคิด และวิวัฒนาการสิทธิมนุษยชน และความหมายและความสําคัญของสิทธิมนุษยชนและสิทธิขั้นพื้นฐาน
วิวัฒนาการสิทธิมนุษยชน
เมื่อในหลายประเทศได้พยายามเรียกร้องเพื่อให้มีการรับรองและคุ้มครองสิทธิ มนุษยชนมากขึ้น จึงนําไปสู่การร่างกฎบัตรสหประชาชาติที่มีบทบัญญัติที่อ้างถึงและ เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอยู่หลายมาตรา สหประชาชาติได้อาศัยบทบัญญัติ ดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมสนับสนุนให้รัฐสมาชิกได้ตระหนักถึงความสําคัญและ เห็นถึงความจําเป็นในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและให้ความเคารพต่อสิทธิ มนุษยชน โดยองค์การสหประชาชาติ (United Nations) ได้ถือกําเนิดขึ้นในระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทําหน้าที่ในการดูแลความมั่นคงปลอดภัยและ รักษาสันติภาพโลก ซึ่งมีวิวัฒนาการตามลําดับเหตุการณ์ดังนี้
๑๒ มิถุนายน ค.ศ.๑๙๔๑ มีการลงนามในปฏิญญาลอนดอน (London) ระหว่าง ผู้แทนรัฐบาลพลัดถิ่นของฝ่ายสัมพันธมิตร ณ พระราชวังเซนต์เจมส์กรุงลอนดอน โดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อต่อต้านการรุกรานของฝ่ายอักษะและเพื่อช่วยเหลือกันทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม
๑๔ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๔๑ ผู้แทนของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษได้ ลงนามในกฎบัตรแอตแลนติค (Atlantic Charter) บนเรือรบของสหรัฐอเมริกาชื่อ ออกัสตา ณ มหาสมุทรแอตแลนติคเหนือ เพื่อเน้นถึงความร่วมมือของประเทศทั้งสองและ เพื่อเป็นตัวจักรสําคัญในการดําเนินงานขององค์การระหว่างประเทศที่จะได้ก่อตั้งขึ้นใหม่
๓๐ ตุลาคม ค.ศ.๑๙๔๓ มีการลงนามในปฏิญญามอสโค (Moscow Declaration) โดยผู้แทนของประเทศจีน อังกฤษ สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกา ณ กรุงมอสโก โดย เป็นความประสงค์ของสหภาพโซเวียตที่ต้องการมีส่วนร่วมในองค์การระหว่างประเทศที่ กําลังจะเกิดขึ้นนี้
๒๑ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๔๕ ถึง ๗ ตุลาคม ค.ศ.๑๙๔๔ ผู้แทนของประเทศจีน อังกฤษ สหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา ประชุมร่วมกันเพื่อร่างกฎบัตรสหประชาชาติณ เมืองดัม บาร์ตัน ชานกรุงวอชิงตันดีซี ๒๕ เมษายน ค.ศ.๑๙๔๕ ผู้แทนจาก ๕๐ ประเทศร่วมลงนามในกฎบัตร สหประชาชาติณ เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
๒๔ ตุลาคม ค.ศ.๑๙๔๕ ผู้แทนจากประเทศต่างๆทั่วโลกได้ร่วมกันให้สัตยาบันกฎ บัตรสหประชาชาติที่ได้ลงนามไว้ถือเป็นวันที่กฎบัตรสหประชาชาติเริ่มมีผลบังคับใช้ดังนั้น จึงถือว่าวันที่ ๒๔ ตุลาคมของทุกปีเป็นวันสหประชาชาติตั้งแต่นั้นมา
โดยในกฎบัตรสหประชาชาติได้กล่าวถึงเจตจํานงของการก่อตั้งองค์การ สหประชาชาติว่า “เราบรรดาประชาชนแห่งสหประชาชาติได้ตั้งเจตจํานงที่จะช่วยชนรุ่น หลังให้รอดพ้นจากภัยพิบัติแห่งสงคราม ซึ่งได้นําความวิปโยคอย่างสุดจะพรรณนามาสู่ มนุษยชาติในชั่วชีวิตของเราถึงสองครั้งแล้ว และที่จะยืนยันความเชื่อมั่นในสิทธิมนุษยชน อันเป็นพื้นฐานของเกียรติศักดิ์และคุณค่าของมนุษย์ในสิทธิอันเท่าเทียมกันของชายและ หญิงและของประชาชาติใหญ่น้อย และที่จะสถาปนาภาวการณ์อันจะธํารงไว้ซึ่งความ ยุติธรรมและความเคารพต่อข้อผูกพันทั้งปวงอันเกิดจากสนธิสัญญาและที่มาอื่นของ กฎหมายระหว่างประเทศ และที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าทางสังคมและมาตรฐานชีวิตที่ดี ขึ้นมีอิสรภาพมากขึ้นและเพื่อจุดหมายปลายทางเหล่านี้ที่จะปฏิบัติการผ่อนสั้นผ่อนยาว และดํารงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขดั่งเพื่อนบ้านที่ดีและที่จะรวมกันเพื่อธํารงไว้ซึ่ง สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศและที่จะให้ความมั่นใจว่าจะไม่มีการใช้กําลัง อาวุธนอกจากเพื่อประโยชน์ร่วมกัน โดยการยอมรับในหลักการและวิธีการที่จะได้จัดตั้งขึ้น และที่จะใช้จักรกลระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าในทางสังคมและ เศรษฐกิจของประชาชนทั้งปวง”