ความหมายผู้ที่สาบสูญ
ผู้ที่สาบสูญ หมายถึง บุคคลที่หายไปจากภูมิลำเนาโดยได้ร่องรอยและไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนและยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
การสาบสูญตามฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สำหรับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้วางหลักเกณฑ์ผู้ไม่อยู่ที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญแล้ว กฎหมายให้สันนิษฐานว่าถึงแก่ความตาย เป็นกรณีถึงแก่ความตายโดยผลของกฎหมาย หลักเกณฑ์ที่จะขอให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ ดังนี้[1]
· ไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่
· ไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
· เป็นเวลา 5 ปี (เป็นการขอในกรณีธรรมดา)
การไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ โดยไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หมายความว่า บุคคลนั้นหายไปจากบ้านเฉย ๆ เช่น บอกว่าจะไปทำงานที่ต่างจังหวัด แล้วไม่กลับมาอีกเลย หรือ หนีออกจากบ้านไปเฉย ๆ แล้วไม่กลับมาอีกเลย และ ไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ คือ ไม่มีใครทราบข่าวคราว ไม่เคยติดต่อญาติเลย ไม่มีใครพบเห็นอีกเลย และ การหายไปนั้นได้หายไปเป็นเวลา 5 ปี ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพนักงานอัยการสามารถยื่นคำร้องขอต่อศาลขอให้ศาลมีคำสั่งว่าบุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญได้ เมื่อศาลมีคำสั่งดังกล่าวแล้ว
กฎหมายให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นถึงแก่ความตาย สิทธิ์หน้าที่ของบุคคลนั้นย่อมระงับลง ทรัพย์สินของบุคคลนั้นตกแก่ทายาททันที[2] การที่กฎหมายใช้คำว่า“สันนิษฐาน” นี้ หมายความว่า เป็นแต่เพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้นเพราะความหวังว่าจะกลับมานั้นแทบไม่มี แต่หากกลับมาก็สามารถร้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งว่าเขาเป็นคนสาบสูญได้
ส่วนการขอในกรณีพิเศษนั้น คือหากมีเหตุตาม (1) – (3) ระยะเวลา 5 ปีจะลดเหลือเพียง 2 ปี ผู้มีสิทธิ์ร้องขอคือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการเหมือนกรณีการยื่นขอกรณีธรรมดา
1. นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและ หายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว
เช่น A เป็นทหารซึ่งประเทศไทยส่งไปร่วมรบที่ประเทศติมอร์ ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2555 การรบสิ้นสุดในวันที่ 25 ธันวาคม 2555 จนกระทั่งบัดนี้ A ไม่กลับมาประเทศไทยอีกเลย และไม่มีผู้ใดพบศพ (ถือว่าหายไปเพราะถ้าพบศพก็ไม่หาย) ดังนั้นวันแรกที่จะเกิดสิทธิ์ในการร้องขอให้เอเป็นบุคคลสาบสูญได้คือวันที่ 25 ธันวาคม 2557
2.นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลายหรือสูญหายไป
เช่น A ขึ้นเครื่องบินเดินทางไปมาเลเซีย ในวันที่ 15 ธันวาคม 2555 เครื่องบินตกวันนั้นวันแรกที่จะขอให้ A เป็นคนสาบสูญได้คือวันที่ 15 ธันวาคม 2557 แต่ถ้าเหตุภยันตรายนั้นคงมีต่อเนื่อง เช่น วันที่ 15 ธันวาคม 2555 A ล่องเรือออกทะเลแล้วเกิดพายุ ในวันที่ 16 ทางชายฝั่งไม่ได้รับสัญญาณจากเรือ วันที่ 17 พายุสงบ วันที่เริ่มนับคือวันที่ไม่ได้รับสัญญาณจากเรือ ดังนั้นวันที่จะร้องได้คือวันที่ 16 ธันวาคม 2555 แต่ถ้าไม่มีการตรวจสัญญาณเลยต้องรอจนพายุสงบแล้วไม่พบเรือหรือไม่ติดต่อกลับมาอีก วันแรกจะเป็นวันที่ 17 ธันวาคม 2555 แล้วแต่ว่าเราไม่สามารถติดต่อบุคคลนั้นได้ในวันใด หรือไม่สามารถทราบข่าวคราวของเขาในวันใด
3. นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน 1. หรือ 2. ได้ผ่านพ้นไปถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น
เช่น วันที่15 ธันวาคม 2555 นาย A เดินทางจากกรุงเทพมหานครไปเที่ยวที่ญี่ปุ่น ญาตินาย A ทราบว่านาย A ไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วจะกลับมาหลังปีใหม่ ปรากฏว่าในวันที่ 26 ธันวาคม 2555 เกิดคลื่นยักษ์ซินามิขึ้นที่ญี่ปุ่น หลังเกิดเหตุการณ์ญาติออกตามหาแต่ไม่พบนาย A การนับระยะเวลาจะต่างจากผู้ไม่อยู่เพราะไม่ได้นับวันปี แต่นับวันที่ภยันตรายได้ผ่านพ้นไป เมื่อภยันตรายผ่านพ้นไปในวันที่ 26 ธันวาคม จะร้องขอให้เป็นคนสาบสูญได้ก็ต่อเมื่อถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2557
การแบ่งมรดกในกรณีที่ของคนสาบสูญ กรณีที่เจ้ามรดกหรือทายาทได้หายสาบสูญซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าตายแล้วหรือไม่ ให้จัดการ ทรัพย์มรดก ดังนี้
· กรณีที่ทายาทได้หายสาบสูญ ให้ทายาทอื่นรับส่วนของตน
· กรณีที่เจ้ามรดกเป็นคนสาบสูญ ให้ระงับการแบ่งมรดกไว้ก่อนจนกว่าจะชัดเจนว่าได้หาย สาบสูญจริง ในกรณีที่ทายาทได้ตายก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้เจ้ามรดกเป็นคนสาบสูญ ทายาทนั้นไม่มี สิทธิ์ได้รับมรดก
การคำนวณอายุของบุคคลที่หายสาบสูญ
การคำนวณอายุของบุคคลที่หายสาบสูญในทางกฎหมายอิสลามนั้น มีแนวทางในการชี้ขาดของศาลตุลาการว่าบุคคลที่หายสาบสูญนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และสามารถนำสินทรัพย์ของเขาออกมาแบ่งได้หรือไม่? โดยมีมุมมองจากหลาย ๆ มัซฮับ ดังนี้
· มัซฮับชาฟีอีย์ มีความเห็นว่าให้นับอายุของเขาให้ได้ 90 หากเขายังไม่กลับมาก็ให้ถือเขาได้ตายไปแล้ว
· มัซฮับฮานาฟีย์ให้มุมมองว่าให้คำนวณจากการสูญหายของเขาให้ได้ 90 ปี (ราวอายุของบุคคลที่หายสาบสูญ 90-120 ปี)
· มัซฮับฮัมบะลีย์มีความเห็นว่าให้นับอายุของเขาให้ได้ 90 ปีหากเขายังไม่กลับมาก็ให้ถือเขาได้ตายไปแล้วหรือให้ศาลตุลาการเป็นผู้ชี้ขาดโดยอาศัยหลักฐานและเหตุผลประกอบการในหลาย ๆ ด้าน
· มัซฮับมาลิกีย์มีมุมมองว่าให้นับอายุของเขาให้ได้ 70 ปีหากเขายังไม่กลับมาก็ให้ถือเขาได้ตายไปแล้ว
ดังนั้นพอจะสรุปได้ว่าบุคคลที่หายสาบสูญโดยไม่รู้ข่าวใด ๆ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเป็นตายร้ายดีอย่างไร? ดังนั้นสินทรัพย์ของเขาจะนำออกมาแบ่งไม่ได้จนกว่าจะผ่านพ้นไปประมาณการโดยนับอายุไขของเขาให้ครบ 70-120 ปีหรือให้ศาลตุลาการเป็นผู้ชี้ขาดโดยอาศัยหลักฐานและเหตุผลประกอบการในหลาย ๆ ด้านเช่นเดินทางการศึกษาต่างเมืองแดนไกลแล้วหายสาบสูญไปหรือเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์แล้วหายสาบสูญไปเป็นต้น